เรื่อง พ้นทุกข์ ชั่วพริบตา
โดยอาจารรย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ในงานแสดงธรรม ปฏิบัติธรรมเป็นธรรมทานครั้งที่ 24
จัดโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ บพิตรพิมุข มหาเมฆ
ร่วมกับ ชมรมกัลยาณธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2555
จำได้มั้ยครับ
จัดโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ บพิตรพิมุข มหาเมฆ
ร่วมกับ ชมรมกัลยาณธรรม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2555
จำได้มั้ยครับ
ตอนที่ผมพูดเที่ยงตรงอยู่ในอนาคต
เที่ยงตรงตอนนี้คือ เดี๋ยวนี้
หากความตายที่บอกว่าอยู่ในอนาคต
เมื่อไหร่ที่มันมาถึง มันคือปัจจุบัน
ถ้าวันนี้ไม่พร้อมตอนนี้ไม่พร้อม
หากความตายที่บอกว่าอยู่ในอนาคต
เมื่อไหร่ที่มันมาถึง มันคือปัจจุบัน
ถ้าวันนี้ไม่พร้อมตอนนี้ไม่พร้อม
ตอนนั้น?....ก็ยังไม่พร้อม!... "
เริ่มการบรรยาย
การบรรยายในช่วงแรกนะครับที่เราได้ฟังหลวงพ่อเอี้ยนจบไปในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท
ในส่วนของผมวันนี้ก็มาในสองฐานะน่ะ หนึ่งก็คือเป็นลูกศิษย์วัด
มา...เพื่อมาทำให้ท่านเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อฯ ได้พูดไปได้ง่ายขึ้นนะครับ
อีกส่วนหนึ่งก็มาในฐานะของผู้บรรยายนะครับ อ่ะ...ระบบเสียงก็ดูว่าจะเริ่มใช้ได้แล้วนะครับ
เริ่มการบรรยาย
การบรรยายในช่วงแรกนะครับที่เราได้ฟังหลวงพ่อเอี้ยนจบไปในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท
ในส่วนของผมวันนี้ก็มาในสองฐานะน่ะ หนึ่งก็คือเป็นลูกศิษย์วัด
มา...เพื่อมาทำให้ท่านเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อฯ ได้พูดไปได้ง่ายขึ้นนะครับ
อีกส่วนหนึ่งก็มาในฐานะของผู้บรรยายนะครับ อ่ะ...ระบบเสียงก็ดูว่าจะเริ่มใช้ได้แล้วนะครับ
.................................
อย่างเหตุการณ์เหล่านี้เนี่ย คือครูสอนกรรมฐานของพวกเรา
ในทุกๆ อย่างในชีวิตของเราเนี่ย ไม่ว่าจะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ในฐานะผมขึ้นมาบรรยาย ท่านเป็นผู้ฟัง
เจ้าภาพทั้งหลาย ก็อาจจะมีจิตใจที่กำลังระทึกอยู่
ว่ามันจะผ่านไปด้วยดีมั้ย เสียงจะดังขึ้นมั้ย ภาพจะขึ้นจอมามั้ย อะไรต่อะไรเนี่ยนะ
แต่สิ่งเหล่านี้เราสามารถแก้ไข และนึกว่าจัดการได้โดยที่ใจเป็นปกติ
แต่วันนี้ทุกอย่างใจเราไม่ค่อยจะปกติ
เนื่องจากว่าเมื่อไรก็ตามที่ใจของเราไปเกาะอยู่กับเนื้อเรื่องต่างๆแล้ว
เราก็ไม่มีสติพอที่จะจัดการ มันก็จะเกิดความทุกข์ขึ้น
เรื่องง่ายๆ ที่เกิดขึ้นกับทุกคนในชีวิตประจำวัน
อย่างเช่นรถติดไฟแดงรถทุกคันก็ติดไฟแดง
เดี๋ยวนี้ไฟแดงก็จะมีตัวเลขถอยกลับ 60, 59, 58 ไปเรื่อยๆ
เมื่อถึง 0 เรารู้กันโดยอัตโนมัติว่า ไฟจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว
แต่น่าแปลกที่คนในรถเกือบทั้งหมดมีความทุกข์ ว่าเมื่อไหร่มันจะเขียวซักที
ทั้งๆ ที่ไฟแดงไม่เคยเปลี่ยนเป็นไฟเขียวตามความอยาก ไม่อยากของใครเลย
ไม่มีอะไรกี่ยวข้องกันเลย แต่ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น
หากผมเริ่มต้นตอนนี้ 11 โมงกว่าๆ จบตอนเที่ยง
หลายท่านที่อาจจะปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ หรือเบื่อ หรือหิวอยากไปทานข้าว
ใจท่านอาจจะกระวนกระวายถึงตอนเที่ยง เมื่อไหร่จะเที่ยงซักทีจะได้ไปทานข้าว หิวข้าว
... เที่ยงตรงมาถึงแน่ครับ !
ไม่ขึ้นกับอยากไม่อยากของใคร ถ้าเราอยากให้ถึงเราก็ทุกข์เอง
ถ้ากำลังฟังเพลินๆ ไม่อยากให้ถึงเลยก็ทุกข์อยู่ดี
เที่ยงตรงมาถึงแน่ สี่โมงเย็นวันนี้ก็มาถึงแน่เช่นกัน
นั่งฟังยังไงเดี๋ยวก็ถึงสี่โมงเย็นวันนี้
หากสี่โมงเย็นวันนี้มาถึงแน่ วันสุดท้ายของชีวิตมาถึงแน่เช่นกัน
แล้วเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึงแน่ มันจะกลายเป็นปัจจุบันคือตอนนี้
แล้ววันสุดท้ายของชีวิตมาถึงแน่ไม่ขึ้นอยู่กับอยากไม่อยากของใคร
ไม่ว่าจะอยากให้ถึงหรือไม่อยากให้ถึง
วันสุดท้ายมาถึงแน่!!
ทีนี้ เมื่อเราความจริงแบบนี้ หรือจะไม่เข้าใจก็ตาม
แต่ความจริงคือความจริง ไม่ได้ขึ้นกับความอยากหรือไม่อยากของใคร
หลายครั้งในคอร์สปฏิบัติธรรม ผมพูดเรื่องกฏแห่งกรรม เวลามีคนยกมือหรือว่าถามเค้าว่า
ท่านเชื่อมั้ยว่าเรื่องกฏแห่งกรรม?
บางคนก็ยกมือบอกว่า...เชื่อ บางคนก็ยกมือบอกว่า...ไม่เชื่อ
บางคนก็...อืมไม่แน่ใจเหมือนกันไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี
ผมก็ถามว่า...อ่ะตกลงความจริงคืออะไรเพราะมันมีทั้งเชื่อทั้งไม่เชื่อทั้งไม่รู้จะเอายังไงดี
อย่างเหตุการณ์เหล่านี้เนี่ย คือครูสอนกรรมฐานของพวกเรา
ในทุกๆ อย่างในชีวิตของเราเนี่ย ไม่ว่าจะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ในฐานะผมขึ้นมาบรรยาย ท่านเป็นผู้ฟัง
เจ้าภาพทั้งหลาย ก็อาจจะมีจิตใจที่กำลังระทึกอยู่
ว่ามันจะผ่านไปด้วยดีมั้ย เสียงจะดังขึ้นมั้ย ภาพจะขึ้นจอมามั้ย อะไรต่อะไรเนี่ยนะ
แต่สิ่งเหล่านี้เราสามารถแก้ไข และนึกว่าจัดการได้โดยที่ใจเป็นปกติ
แต่วันนี้ทุกอย่างใจเราไม่ค่อยจะปกติ
เนื่องจากว่าเมื่อไรก็ตามที่ใจของเราไปเกาะอยู่กับเนื้อเรื่องต่างๆแล้ว
เราก็ไม่มีสติพอที่จะจัดการ มันก็จะเกิดความทุกข์ขึ้น
เรื่องง่ายๆ ที่เกิดขึ้นกับทุกคนในชีวิตประจำวัน
อย่างเช่นรถติดไฟแดงรถทุกคันก็ติดไฟแดง
เดี๋ยวนี้ไฟแดงก็จะมีตัวเลขถอยกลับ 60, 59, 58 ไปเรื่อยๆ
เมื่อถึง 0 เรารู้กันโดยอัตโนมัติว่า ไฟจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว
แต่น่าแปลกที่คนในรถเกือบทั้งหมดมีความทุกข์ ว่าเมื่อไหร่มันจะเขียวซักที
ทั้งๆ ที่ไฟแดงไม่เคยเปลี่ยนเป็นไฟเขียวตามความอยาก ไม่อยากของใครเลย
ไม่มีอะไรกี่ยวข้องกันเลย แต่ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น
หากผมเริ่มต้นตอนนี้ 11 โมงกว่าๆ จบตอนเที่ยง
หลายท่านที่อาจจะปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ หรือเบื่อ หรือหิวอยากไปทานข้าว
ใจท่านอาจจะกระวนกระวายถึงตอนเที่ยง เมื่อไหร่จะเที่ยงซักทีจะได้ไปทานข้าว หิวข้าว
... เที่ยงตรงมาถึงแน่ครับ !
ไม่ขึ้นกับอยากไม่อยากของใคร ถ้าเราอยากให้ถึงเราก็ทุกข์เอง
ถ้ากำลังฟังเพลินๆ ไม่อยากให้ถึงเลยก็ทุกข์อยู่ดี
เที่ยงตรงมาถึงแน่ สี่โมงเย็นวันนี้ก็มาถึงแน่เช่นกัน
นั่งฟังยังไงเดี๋ยวก็ถึงสี่โมงเย็นวันนี้
หากสี่โมงเย็นวันนี้มาถึงแน่ วันสุดท้ายของชีวิตมาถึงแน่เช่นกัน
แล้วเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึงแน่ มันจะกลายเป็นปัจจุบันคือตอนนี้
แล้ววันสุดท้ายของชีวิตมาถึงแน่ไม่ขึ้นอยู่กับอยากไม่อยากของใคร
ไม่ว่าจะอยากให้ถึงหรือไม่อยากให้ถึง
วันสุดท้ายมาถึงแน่!!
ทีนี้ เมื่อเราความจริงแบบนี้ หรือจะไม่เข้าใจก็ตาม
แต่ความจริงคือความจริง ไม่ได้ขึ้นกับความอยากหรือไม่อยากของใคร
หลายครั้งในคอร์สปฏิบัติธรรม ผมพูดเรื่องกฏแห่งกรรม เวลามีคนยกมือหรือว่าถามเค้าว่า
ท่านเชื่อมั้ยว่าเรื่องกฏแห่งกรรม?
บางคนก็ยกมือบอกว่า...เชื่อ บางคนก็ยกมือบอกว่า...ไม่เชื่อ
บางคนก็...อืมไม่แน่ใจเหมือนกันไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี
ผมก็ถามว่า...อ่ะตกลงความจริงคืออะไรเพราะมันมีทั้งเชื่อทั้งไม่เชื่อทั้งไม่รู้จะเอายังไงดี
แสดงว่ามันก็มีคนถูกบ้างผิดบ้าง แล้วความจริงคืออะไร?
ความจริงคืออะไรรู้มั้ยครับ?
วันนี้ความจริงของโลกนี้คือ พวกมาก เสียงดัง ดูน่าเชื่อถือ ความจริงจะไปทางนั้น
หากโลกใบนี้เจ็ดพันล้านคน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสของคนเดียว
คนเจ็ดพันล้านคนเข้าไปโพสต์ในเว็บบอกว่าไม่เชื่อ ไม่ได้แปลว่าคนเจ็ดพันล้านคนจะเห็นถูก
ไม่ได้แปลว่าคนน้อยจะเข้าใจผิด หรือคนน้อยจะไม่มีทางเห็นจริง
วันนี้ความจริงคืออะไร? สาระมันอยู่ตรงนั้น
เมื่อพันปีก่อนมนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้สมมติว่ามีพันล้านคน
เชื่อเหลือเกินว่าโลกใบนี้แบน
เมื่อพันปีก่อนทุกคนแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกใบนี้แบน
หากใครเห็นผิดจากนั้น ศาสนจักรจะตัดหัวด้วย
วันนี้โลกใบนี้ก็เหมือนเดิม แต่คนเห็นแล้วว่าโลกใบนี้กลม
ผมถามว่าโลกใบนี้เคยเปลี่ยนไปแบนซักวินาทีนึงมั้ยครับ?...ไม่เลย
โลกใบนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปแบนซักวินาทีนึง
ไม่ว่าคนในโลกทั้งพันล้านคนจะเห็นถูกก็ตามหรือเห็นผิดก็ตาม
แต่โลกเป็นของเค้าอยู่อย่างนั้น หากความเข้าใจผิดทั้งหมดเราเรียกว่า “มิจฉาทิฏฐิ”
วันนี้เจ็ดพันล้านคนเชื่อแล้วว่าโลกใบนี้กลม
เพราะเห็น.....ไม่ว่าจะด้วยดาวเทียมหรือว่าพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกใบนี้กลม
เค้าเป็นของเค้าอยู่อย่างนี้ล่ะ
มนุษย์ทั้งหลายที่เริ่มเข้าไปเห็นแล้วก็บอกว่าตัวเองเห็นถูก
เกิดสัมมาทิฏฐิว่าเข้าใจแล้วว่าโลกนี้กลม
โลกไม่ได้ดีใจหรือไม่ได้หืออือกับความเห็นถูกนั้นเลย
โลกนี้ก็ไม่เคยโกรธที่มนุษย์พันล้านคนในสมัยก่อนเห็นผิด
หากภาษาโลกนี้เปลี่ยนเป็นภาษาธรรม
วันที่เกิดมิจฉาทิฏฐิหาว่าขันธ์ห้าหรือว่าร่างกายนี้ใจนี้เป็นของเรา
โลกนี้ไม่เคยหืออือด้วยเลย
ทำไงถึงจะเข้าใจความจริง เริ่มเข้าไปสังเกตทั้งกายและใจบนสติปัฏฐานสี่
เห็นการเกิดๆ ดับๆ จึงเข้าใจเลยว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยหมดตามเหตุปัจจัย
สภาพทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาเพราะความเป็นรูปนาม
ไม่ได้มีผู้ทุกข์แต่เป็นสภาพทุกข์ที่บีบคั้นเพื่อจะรักษาสถานะของตัวเองให้สมดุลเอาไว้
มนุษย์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจถูก หรือว่าผู้ทีปฏิบัติเริ่มเห็นความจริงว่า ฉันเกิดสัมมาทิฏฐิ
ผมถามว่าโลกนี้ (ร่างกาย) ของท่านเคยหืออือด้วยมั้ย?...ไม่เคย
ขณะที่ท่านเห็นถูก ท่านกลับกลายเป็นมีความทุกข์จากความเห็นถูกนั้นแหล่ะ
เมื่อไหร่ สลายตรงนี้ออก เมื่อนั้นถึงจะจบ
ซึ่งเลยสัมมาทิฏฐิไปเกิดเป็น สัมมาญาณะ แล้วจึงเกิดเป็น สัมมาวิมุติ
เพราะฉะนั้นวันนี้เส้นทางการปฏิบัติทั้งหมดที่เรากำลังเดินทางกันอยู่
ในที่นี้ผมว่ามีนักปฏิบัติอยู่มากมายเหลือเกิน
เราจะกลับมาสู่เรื่องราวเข้าใจได้ก่อน ก่อนที่เราจะไปรู้เรื่องราวที่เราน่าจะรู้
หลวงพ่อฯ ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของปฏิจจสมุปบาท
ผมเชื่อเหลือเกินว่าในที่นี้อาจจะมีผู้ที่ศึกษาธรรมมา หรืออาจจะมีผู้ที่ได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
หรือว่าอาจจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว
มันก็เหมือนกับการศึกษาปริยัติที่เอาไว้สอบท่อง
หรือเอาไว้โชว์ความรู้สึก โชว์พาวด์ โชว์ความภูมิใจ แต่เปล่าเลย......
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสทั้งหมดออกมาจากพระโอษฐ์
ไม่ใช่ท่านเขียนตำรามาให้พวกเราศึกษา
แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ให้พวกเราทั้งหลายไปปฏิบัติจริงๆ
ออกมาจากพระโอษฐ์เพื่อสอนให้เกิดการปฏิบัติ
เราจะมาดูกันซักนิดนึงเพื่อทำความเข้าใจ
เดี๋ยวผมจะให้ท่านดูอะไรบนจอ
แล้วเรามาดูกันว่าปฏิจจสมุปบาทอยู่ในพระไตรปิฎกจริงหรอ?
หรือว่าอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเรา
เป็นคลิปสั้นๆ นะ ประมาณ 20 วินาที ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย
เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายคนนึง ปิ๊งเด็กผู้หญิง แล้วก็ชอบอยากได้เป็นแฟน
เราก็เห็นแล้วว่าเขียนโน้ต “I love you. Do you love me?”
แล้วมี Yes กับ No ให้เลือกด้วย แล้วก็ส่งโน้ตไป
พอส่งโน้ตเสร็จ เด็กผู้หญิงได้รับ ก็อย่างที่เราเห็นภาพ... “No” ไม่เอาด้วย
ผู้ชายจ๋อยไปแปบนึง ก็ไปปิ๊งคนใหม่อีก ก็เริ่มต้นกันใหม่
เราจะกลับมาดูคลิปนี้ด้วยกันอีกครั้งนึง
ในรอบแรกที่เราดูก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วมีอะไรเหรอ? แล้วทำไมต้องจั่วหัวซะ...
“ปฏิจจสมุปบาท” เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง
แล้วก็ยากที่สุดยากที่สุดในพระพุทธศาสนาเลย
แม้แต่พระอานนท์ยังเคยทูลพระพุทธเจ้าว่า
ก็ไม่เห็นมีอะไรมากนะเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทท่านก็สามารถเข้าใจ
พระพุทธเจ้ายังบอกว่า “อานนท์เธออย่ากล่าวอย่างนั้น”
เราจะมาดูอีกครั้งนึงในเชิงที่พวกเราพอเข้าใจกันได้ก่อน
วันนี้ผมไม่ได้ทำหน้าที่อะไรเลยนะครับ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมาจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หน้าที่ของผมเพียงแต่ทำยังไงให้ผู้คนในปัจจุบันเข้าใจคำสอนของท่าน
แล้วสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงๆ วันนี้หนังสือของผมที่เขียนออกไป
ผมภูมิใจในคำๆนึงที่อัมรินทร์บรรณาธิการเขียนเอาไว้คำนึงว่า
“อาจารย์ประเสริฐเป็นล่ามของพระพุทธเจ้า”
ผมน้อมรับคำนั้นด้วยความยินดี แล้วก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
วันนี้เราจะมาลองดูด้วยกันนะครับ เพื่อจะทำความเข้าใจในธรรมะที่เราอาจจะบอกว่า
แค่ฟังชื่อ “ปฏิจจสมุปบาท” ก็ไม่คิดว่าเกิดมาจะเข้าใจได้
เรากลับมาดูข้อแรกว่า “ทุกข์ควรรู้” ชาวพุทธทั้งหลายที่จะพ้นทุกข์ ทำกิจในอริยสัจจ์
“ทุกข์ควรรู้” เมื่อกี้ผมถามว่าเด็กคนนี้ทุกข์มั้ย?...ท่านบอกว่าทุกข์
แต่เค้ารู้มั้ย?...ท่านบอกว่าไม่รู้
ตอนท่านเดินเข้าไปในห้างฯ ท่านเห็นเสื้อตัวนึงท่านอยากได้
ขณะนั้นความบีบคั้นได้เกิดขึ้น เกิดตัณหา
ผมถามว่า รู้มั้ยว่าความทุกข์เกิดขึ้น?...ไม่อ่ะ
ท่านรู้อย่างเดียวว่าถ้าฉันได้ฉันจะมีความสุข
ถ้าฉันไม่ได้ฉันถึงจะทุกข์ แต่ถ้าฉันได้จะทุกข์ทำไม
...ไม่ใช่!
อริยชนผู้สดับ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะเห็นเลยตั้งแต่ตัณหาบีบคั้นปั๊บก็รู้เลยว่าทุกข์
ไม่ใช่รอให้ได้หรือว่าไม่ได้ถึงจะทุกข์ ตั้งแต่ “ตาหัน”...เฮ้ยฮึฮิ...”ตัณหา” บีบคั้นเนี่ย...ทุกข์แล้ว
ตอนนี้ทุกข์แล้วยังครับ?...ทุกข์แล้ว เค้ารู้ยังครับว่าทุกข์?...รู้แล้ว
ปุถุชนผู้มิไม่ได้สดับ ขณะที่เค้าเป็นทุกข์ เค้ารู้สึกว่าเค้าทุกข์ตอนนั้นความทุกข์รุนแรงมากแล้ว
ตั้งแต่เค้าเห็นเด็กผู้หญิงแล้วก็เกิดความชอบ
จนกระทั่งทวีความรุนแรงเป็นตัณหาในตอนต้นเรื่องเลย
ถ้าผมถามท่าน ท่านหยุดภาพนั้นแล้วถามว่าเค้าทุกข์มั้ย?...เราจะบอกว่า อืม...
หลายคนที่ไม่เข้าใจก็บอกว่ายังไม่ทุกข์มั้ง แต่ถ้าใครปฏิบัติธรรมมาจะเริ่มรู้สึกว่าทุกข์แล้ว
แต่ดีกรีของมันเพิ่งจะเริ่มต้นซักหนึ่งหรือสองแต้มจนกระทั่งที่ผมถาม
ตอนที่เค้าชะเง้อชะแง้แลมองเมื่อกี้นี้
ดีกรีของมันเพิ่มขึ้นเป็นห้าแต้ม ท่านจะเห็นว่าระดับความทุกข์มันเริ่มเพิ่มขึ้น
จนถึงตอนนี้อาจกลายเป็นแปดแต้มไปแล้ว
จะเห็นว่าระดับความทุกข์เพิ่มขึ้นมาจนกระทั่งกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้
มันเยอะเกินไปแล้ว …...
ถ้าเป็นเครื่องจับแผ่นดินไหวตอนนี้สมมติว่า 7 ริกเตอร์ 8 ริกเตอร์เนี่ย บ้านพังละ
ตอนที่มันเริ่ม สั่นริกๆ ริกๆ น้อยๆ เนี่ย ไม่เห็น
เพราะสติปัญญาหรือความ... การศึกษา... การปฏิบัติมันยังไม่มาก
จะมีเครื่องเตือนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงท่านจึงไม่สามารถชำระได้
ไม้ขีดจุดฟู่ แล้วท่านเป่า...ฟิ้ววววว ตอนตั้งแต่ที่มันฟู่แรก...ฟิ้ววว มันจะเป่าง่ายมาก
แต่ทุกวันนี้ฟู่วววว จนกระทั่งมันลามแล้วก็ติดกองฟืนกองฟางติดบ้านหลังมโหฬาร
ระดับ...ฟิ้ววววว..หมดสิทธิ์ น้ำแก้วนึง..หมดสิทธิ์ ถังนึง..หมดสิทธิ์
เพราะฉะนั้นมันเลยไปแล้ว ทำยังไงวันนี้ถึงจะเข้าใจตอนที่มันกำลังเริ่มต้น
หรือว่าค่อยๆ พัฒนา จนกระทั่งเข้าใจได้เร็วขึ้น
ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีกนะ ก็เป็นอย่างนี้แหละ วงจรก็หมุนไปเรื่อยๆ
เอาล่ะครับ เพื่อความเข้าใจมากขึ้นขออุปกรณ์หน่อยเก้าอี้กับป้าย
แล้วก็อาสาสมัครซักสี่ท่าน เอาไว้บนพรมนี่ล่ะ ขอกล้องถ่ายเข้ามาที่คนนะครับ
เดี๋ยวข้างล่างไม่ทราบว่าเราทำอะไรกัน ตรงนี้เลยครับ อ่ะเชิญครับทั้งสี่ท่านขึ้นเวทีหน่อย
กัลยาณธรรมช่วยกันทำมาหากินหน่อยนะครับ
อ่ะสติอยู่ฝั่งนี้นะครับ แล้วก็ โลภ โกรธ หลง หรือ โลภะ โทสะ โมหะ ครับ
ให้เว้นเก้าอี้ไว้ เก้าอี้ไว้ตรงนี้ โอเค ชิดๆ กันเข้ามาหน่อยครับ
เอาละครับเราจะมาทำความเข้าใจกันสักนิดนึง
วันนี้เราจะมีอำนาจพิเศษที่จะสามารถมองทะลุจิตใจของรีเบคก้า
เมื่อกี้เข้าไปดูได้ว่าขณะนี้จิตใจของรีเบคก้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
วันนี้เราจะย่อทุกอย่างเหลือแค่ทำความเข้าใจในฝ่ายกุศลกับอกุศล
เราจะให้เก้าอี้ตัวนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ชื่อว่า “จิต”
ธรรมดาหรือว่าธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเกิดดับรวดเร็วมาก เกิดดับตลอดเวลา
การเกิดขึ้นดับไปของจิตทุกดวงจะต้องประกอบด้วยด้วยเจตสิก
ไม่ยากเย็นอะไร ถ้างั้นความโลภนั่งก่อนนะครับ ลองนั่งดูนะครับ
ถ้าหากความโลภเข้าประกอบจิต สตินั่งเลยครับ นั่งไม่ได้เห็นมั้ยครับเพราะว่ารับรู้ได้ทีละอารมณ์เดียว
แปลว่าถ้าประกอบด้วยสติ ก็ไม่มีกิเลส อ่ะพูดง่ายๆ เลย
ถ้าประกอบด้วยกิเลสก็ไม่มีสติ เรื่องมีอยู่แค่เนี่ยะ เราจะมาเริ่มต้นดูกัน
แล้วจิตทุกดวงต้องประกอบด้วยเจตสิกแปลว่าว่างๆ อย่างนี้ไม่มี ว่างๆ อย่างนี้ไม่มีในพวกเรา
ถ้าหากว่าความหลงสั่งสมไว้มากๆ จะเป็นเหตุปัจจัยนำส่งให้ไปเป็นภพแล้วไปเกิดใหม่เป็นเดรัจฉาน
ถ้าโลภะมากๆ มากจนเป็นทุกข์บีบคั้นแล้วก็ฝังรากลึกลงไปเรื่อยๆ จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นเปรต
อันนี้ท่านเข้าใจได้ ได้ยินกันมานานตั้งแต่เด็ก อยากมากๆ นะเป็นเปรต
ส่วนโทสะ อันนี้ก็เข้าใจไม่ยาก เกี่ยวกับสัตว์นรก มีความบีบคั้น ความอาฆาตพยาบาท คับแค้น
ความจริงคืออะไรรู้มั้ยครับ?
วันนี้ความจริงของโลกนี้คือ พวกมาก เสียงดัง ดูน่าเชื่อถือ ความจริงจะไปทางนั้น
หากโลกใบนี้เจ็ดพันล้านคน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสของคนเดียว
คนเจ็ดพันล้านคนเข้าไปโพสต์ในเว็บบอกว่าไม่เชื่อ ไม่ได้แปลว่าคนเจ็ดพันล้านคนจะเห็นถูก
ไม่ได้แปลว่าคนน้อยจะเข้าใจผิด หรือคนน้อยจะไม่มีทางเห็นจริง
วันนี้ความจริงคืออะไร? สาระมันอยู่ตรงนั้น
เมื่อพันปีก่อนมนุษย์ทั้งหมดในโลกนี้สมมติว่ามีพันล้านคน
เชื่อเหลือเกินว่าโลกใบนี้แบน
เมื่อพันปีก่อนทุกคนแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโลกใบนี้แบน
หากใครเห็นผิดจากนั้น ศาสนจักรจะตัดหัวด้วย
วันนี้โลกใบนี้ก็เหมือนเดิม แต่คนเห็นแล้วว่าโลกใบนี้กลม
ผมถามว่าโลกใบนี้เคยเปลี่ยนไปแบนซักวินาทีนึงมั้ยครับ?...ไม่เลย
โลกใบนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปแบนซักวินาทีนึง
ไม่ว่าคนในโลกทั้งพันล้านคนจะเห็นถูกก็ตามหรือเห็นผิดก็ตาม
แต่โลกเป็นของเค้าอยู่อย่างนั้น หากความเข้าใจผิดทั้งหมดเราเรียกว่า “มิจฉาทิฏฐิ”
วันนี้เจ็ดพันล้านคนเชื่อแล้วว่าโลกใบนี้กลม
เพราะเห็น.....ไม่ว่าจะด้วยดาวเทียมหรือว่าพิสูจน์ได้แล้วว่าโลกใบนี้กลม
ผมถามคำถามนี้ฟังดีๆ นะครับว่า
โลกเคยกลับมา กลม ตามความเชื่อของใครมั้ย?...ไม่เคย !!
เค้าเป็นของเค้าอยู่อย่างนี้ล่ะ
มนุษย์ทั้งหลายที่เริ่มเข้าไปเห็นแล้วก็บอกว่าตัวเองเห็นถูก
เกิดสัมมาทิฏฐิว่าเข้าใจแล้วว่าโลกนี้กลม
โลกไม่ได้ดีใจหรือไม่ได้หืออือกับความเห็นถูกนั้นเลย
โลกนี้ก็ไม่เคยโกรธที่มนุษย์พันล้านคนในสมัยก่อนเห็นผิด
หากภาษาโลกนี้เปลี่ยนเป็นภาษาธรรม
วันที่เกิดมิจฉาทิฏฐิหาว่าขันธ์ห้าหรือว่าร่างกายนี้ใจนี้เป็นของเรา
โลกนี้ไม่เคยหืออือด้วยเลย
ทำไงถึงจะเข้าใจความจริง เริ่มเข้าไปสังเกตทั้งกายและใจบนสติปัฏฐานสี่
เห็นการเกิดๆ ดับๆ จึงเข้าใจเลยว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยหมดตามเหตุปัจจัย
สภาพทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาเพราะความเป็นรูปนาม
ไม่ได้มีผู้ทุกข์แต่เป็นสภาพทุกข์ที่บีบคั้นเพื่อจะรักษาสถานะของตัวเองให้สมดุลเอาไว้
มนุษย์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจถูก หรือว่าผู้ทีปฏิบัติเริ่มเห็นความจริงว่า ฉันเกิดสัมมาทิฏฐิ
ผมถามว่าโลกนี้ (ร่างกาย) ของท่านเคยหืออือด้วยมั้ย?...ไม่เคย
ขณะที่ท่านเห็นถูก ท่านกลับกลายเป็นมีความทุกข์จากความเห็นถูกนั้นแหล่ะ
เมื่อไหร่ สลายตรงนี้ออก เมื่อนั้นถึงจะจบ
ซึ่งเลยสัมมาทิฏฐิไปเกิดเป็น สัมมาญาณะ แล้วจึงเกิดเป็น สัมมาวิมุติ
เพราะฉะนั้นวันนี้เส้นทางการปฏิบัติทั้งหมดที่เรากำลังเดินทางกันอยู่
ในที่นี้ผมว่ามีนักปฏิบัติอยู่มากมายเหลือเกิน
เราจะกลับมาสู่เรื่องราวเข้าใจได้ก่อน ก่อนที่เราจะไปรู้เรื่องราวที่เราน่าจะรู้
หลวงพ่อฯ ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของปฏิจจสมุปบาท
ผมเชื่อเหลือเกินว่าในที่นี้อาจจะมีผู้ที่ศึกษาธรรมมา หรืออาจจะมีผู้ที่ได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
หรือว่าอาจจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว
มันก็เหมือนกับการศึกษาปริยัติที่เอาไว้สอบท่อง
หรือเอาไว้โชว์ความรู้สึก โชว์พาวด์ โชว์ความภูมิใจ แต่เปล่าเลย......
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสทั้งหมดออกมาจากพระโอษฐ์
ไม่ใช่ท่านเขียนตำรามาให้พวกเราศึกษา
แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ให้พวกเราทั้งหลายไปปฏิบัติจริงๆ
ออกมาจากพระโอษฐ์เพื่อสอนให้เกิดการปฏิบัติ
เราจะมาดูกันซักนิดนึงเพื่อทำความเข้าใจ
เดี๋ยวผมจะให้ท่านดูอะไรบนจอ
แล้วเรามาดูกันว่าปฏิจจสมุปบาทอยู่ในพระไตรปิฎกจริงหรอ?
หรือว่าอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเรา
เป็นคลิปสั้นๆ นะ ประมาณ 20 วินาที ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย
เป็นเรื่องของเด็กผู้ชายคนนึง ปิ๊งเด็กผู้หญิง แล้วก็ชอบอยากได้เป็นแฟน
เราก็เห็นแล้วว่าเขียนโน้ต “I love you. Do you love me?”
แล้วมี Yes กับ No ให้เลือกด้วย แล้วก็ส่งโน้ตไป
พอส่งโน้ตเสร็จ เด็กผู้หญิงได้รับ ก็อย่างที่เราเห็นภาพ... “No” ไม่เอาด้วย
ผู้ชายจ๋อยไปแปบนึง ก็ไปปิ๊งคนใหม่อีก ก็เริ่มต้นกันใหม่
เราจะกลับมาดูคลิปนี้ด้วยกันอีกครั้งนึง
ในรอบแรกที่เราดูก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วมีอะไรเหรอ? แล้วทำไมต้องจั่วหัวซะ...
“ปฏิจจสมุปบาท” เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง
แล้วก็ยากที่สุดยากที่สุดในพระพุทธศาสนาเลย
แม้แต่พระอานนท์ยังเคยทูลพระพุทธเจ้าว่า
ก็ไม่เห็นมีอะไรมากนะเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทท่านก็สามารถเข้าใจ
พระพุทธเจ้ายังบอกว่า “อานนท์เธออย่ากล่าวอย่างนั้น”
เราจะมาดูอีกครั้งนึงในเชิงที่พวกเราพอเข้าใจกันได้ก่อน
วันนี้ผมไม่ได้ทำหน้าที่อะไรเลยนะครับ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมาจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หน้าที่ของผมเพียงแต่ทำยังไงให้ผู้คนในปัจจุบันเข้าใจคำสอนของท่าน
แล้วสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงๆ วันนี้หนังสือของผมที่เขียนออกไป
ผมภูมิใจในคำๆนึงที่อัมรินทร์บรรณาธิการเขียนเอาไว้คำนึงว่า
“อาจารย์ประเสริฐเป็นล่ามของพระพุทธเจ้า”
ผมน้อมรับคำนั้นด้วยความยินดี แล้วก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
วันนี้เราจะมาลองดูด้วยกันนะครับ เพื่อจะทำความเข้าใจในธรรมะที่เราอาจจะบอกว่า
แค่ฟังชื่อ “ปฏิจจสมุปบาท” ก็ไม่คิดว่าเกิดมาจะเข้าใจได้
ภาพของเด็กผู้หญิงกระทบตาเด็กผู้ชาย...ถูกมั้ยครับ?...ถูก
ผมบอกว่า “ภาพของเด็กผู้หญิงกระทบตาเด็กผู้ชาย” นะครับ
ผมไม่ได้บอกว่า “เด็กผู้ชายเห็นเด็กผู้หญิง” นะครับ
ภาพของเด็กผู้หญิงมีแสงไปกระทบแล้วมากระทบตาของเด็กผู้ชาย
เกิดเป็นภาพข้างในแล้วถูกแปรค่าด้วยวิญญาณ
แต่เราจะไม่ได้ลงลึกไปมากขนาดนั้นในวันนี้กับเวลาที่มีเหลืออยู่กำลังนับถอยหลังแล้ว
[ ผมบอกแล้วว่าเที่ยงนี้มาถึงแน่ ท่านไม่ต้องรีบ ไม่ต้องอยาก ถึงแน่ๆ นะครับ ]
จากนั้นความรู้สึก “ชอบ” เกิดขึ้น
เมื่อความชอบเกิดขึ้น ภาษาธรรมะเรียกว่า “เวทนา” คือความพอใจ
เมื่อเกิดความพอใจ แล้วจะรู้เลยว่าตอนเมื่อกี้เราดูไปแล้ว
เด็กผู้ชายคนนี้ชอบแล้วก็อยากได้ผู้หญิงมาเป็นแฟน จึงเกิดการเขียนโน้ต
ก่อนการเขียนโน้ตเกิดความบีบคั้น ที่ธรรมะเรียกว่า “ตัณหา”
เมื่อผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเป็นเวทนา
เมื่อเวทนาเป็นปัจจัยความชอบเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นตัณหาบีบคั้น
เด็กผู้ชายคนนี้จึงเขียนโน้ตแล้วก็ยื่นต่อไป
จากนั้นความรู้สึก “ชอบ” เกิดขึ้น
เมื่อความชอบเกิดขึ้น ภาษาธรรมะเรียกว่า “เวทนา” คือความพอใจ
เมื่อเกิดความพอใจ แล้วจะรู้เลยว่าตอนเมื่อกี้เราดูไปแล้ว
เด็กผู้ชายคนนี้ชอบแล้วก็อยากได้ผู้หญิงมาเป็นแฟน จึงเกิดการเขียนโน้ต
ก่อนการเขียนโน้ตเกิดความบีบคั้น ที่ธรรมะเรียกว่า “ตัณหา”
เมื่อผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเป็นเวทนา
เมื่อเวทนาเป็นปัจจัยความชอบเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นตัณหาบีบคั้น
เด็กผู้ชายคนนี้จึงเขียนโน้ตแล้วก็ยื่นต่อไป
เมื่อเด็กผู้หญิงได้รับโน้ต อย่างที่เราเห็นกันไปแล้ว เด็กผู้ชายก็ชะเง้อ
ผมถามจริงๆ คำถามแรกง่ายๆ ว่า เด็กผู้ชายคนนี้ตอนนี้มีสติมั้ยครับ?
...ไม่มี ท่านส่ายหน้านะครับ ทีนี้ช่วยสายเยอะๆ หน่อยนะครับ
เพราะว่าไกลผมมองไม่เห็นนะฮะ
คำถามที่สองที่ผมจะถามคือว่า ท่านว่าเด็กผู้ชายคนนี้ตอนนี้ทุกข์มั้ย?
...ทุกข์ ท่านบอกว่าทุกข์
คำถามที่สามผมจะถามต่อไปว่า เด็กผู้ชายคนนี้เค้ารู้มั้ยครับว่าเค้าเป็นทุกข์ตอนนี้?
...ท่านตอบเองแล้วนะครับ
เดี๋ยวเราจะดูต่อไปในอริยสัจจ์ที่หลวงพ่อเอี้ยนได้พูดไปเมื่อสักครู่ว่า
เป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่ทุกคนท่องมาตั้งแต่เด็ก
ถ้าท่านเข้าใจถึงกิจในอริยสัจจ์ ในปริวรรตที่สอง “กิจในอริยสัจจ์”
“ทุกข์ควรรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ”
เรากลับมาดูข้อแรกว่า “ทุกข์ควรรู้” ชาวพุทธทั้งหลายที่จะพ้นทุกข์ ทำกิจในอริยสัจจ์
“ทุกข์ควรรู้” เมื่อกี้ผมถามว่าเด็กคนนี้ทุกข์มั้ย?...ท่านบอกว่าทุกข์
แต่เค้ารู้มั้ย?...ท่านบอกว่าไม่รู้
ตอนท่านเดินเข้าไปในห้างฯ ท่านเห็นเสื้อตัวนึงท่านอยากได้
ขณะนั้นความบีบคั้นได้เกิดขึ้น เกิดตัณหา
ผมถามว่า รู้มั้ยว่าความทุกข์เกิดขึ้น?...ไม่อ่ะ
ท่านรู้อย่างเดียวว่าถ้าฉันได้ฉันจะมีความสุข
ถ้าฉันไม่ได้ฉันถึงจะทุกข์ แต่ถ้าฉันได้จะทุกข์ทำไม
...ไม่ใช่!
อริยชนผู้สดับ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะเห็นเลยตั้งแต่ตัณหาบีบคั้นปั๊บก็รู้เลยว่าทุกข์
ไม่ใช่รอให้ได้หรือว่าไม่ได้ถึงจะทุกข์ ตั้งแต่ “ตาหัน”...เฮ้ยฮึฮิ...”ตัณหา” บีบคั้นเนี่ย...ทุกข์แล้ว
ตอนนี้ทุกข์แล้วยังครับ?...ทุกข์แล้ว เค้ารู้ยังครับว่าทุกข์?...รู้แล้ว
ปุถุชนผู้มิไม่ได้สดับ ขณะที่เค้าเป็นทุกข์ เค้ารู้สึกว่าเค้าทุกข์ตอนนั้นความทุกข์รุนแรงมากแล้ว
ตั้งแต่เค้าเห็นเด็กผู้หญิงแล้วก็เกิดความชอบ
จนกระทั่งทวีความรุนแรงเป็นตัณหาในตอนต้นเรื่องเลย
ถ้าผมถามท่าน ท่านหยุดภาพนั้นแล้วถามว่าเค้าทุกข์มั้ย?...เราจะบอกว่า อืม...
หลายคนที่ไม่เข้าใจก็บอกว่ายังไม่ทุกข์มั้ง แต่ถ้าใครปฏิบัติธรรมมาจะเริ่มรู้สึกว่าทุกข์แล้ว
แต่ดีกรีของมันเพิ่งจะเริ่มต้นซักหนึ่งหรือสองแต้มจนกระทั่งที่ผมถาม
ตอนที่เค้าชะเง้อชะแง้แลมองเมื่อกี้นี้
ดีกรีของมันเพิ่มขึ้นเป็นห้าแต้ม ท่านจะเห็นว่าระดับความทุกข์มันเริ่มเพิ่มขึ้น
จนถึงตอนนี้อาจกลายเป็นแปดแต้มไปแล้ว
จะเห็นว่าระดับความทุกข์เพิ่มขึ้นมาจนกระทั่งกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้
มันเยอะเกินไปแล้ว …...
ถ้าเป็นเครื่องจับแผ่นดินไหวตอนนี้สมมติว่า 7 ริกเตอร์ 8 ริกเตอร์เนี่ย บ้านพังละ
ตอนที่มันเริ่ม สั่นริกๆ ริกๆ น้อยๆ เนี่ย ไม่เห็น
เพราะสติปัญญาหรือความ... การศึกษา... การปฏิบัติมันยังไม่มาก
จะมีเครื่องเตือนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงท่านจึงไม่สามารถชำระได้
ไม้ขีดจุดฟู่ แล้วท่านเป่า...ฟิ้ววววว ตอนตั้งแต่ที่มันฟู่แรก...ฟิ้ววว มันจะเป่าง่ายมาก
แต่ทุกวันนี้ฟู่วววว จนกระทั่งมันลามแล้วก็ติดกองฟืนกองฟางติดบ้านหลังมโหฬาร
ระดับ...ฟิ้ววววว..หมดสิทธิ์ น้ำแก้วนึง..หมดสิทธิ์ ถังนึง..หมดสิทธิ์
เพราะฉะนั้นมันเลยไปแล้ว ทำยังไงวันนี้ถึงจะเข้าใจตอนที่มันกำลังเริ่มต้น
หรือว่าค่อยๆ พัฒนา จนกระทั่งเข้าใจได้เร็วขึ้น
ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีกนะ ก็เป็นอย่างนี้แหละ วงจรก็หมุนไปเรื่อยๆ
เพื่อทำความเข้าใจในระดับที่เพิ่มขึ้น ผมจะให้ท่านเห็นคร่าวๆ ก่อน
ท่านอาจจะดูไม่ออกด้วยซ้ำว่า ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานยังไง เรากลับไปที่เนื้อเรื่องใหม่
วันนี้เราคงไม่ได้มาดูเรื่องนี้กันมากนักนะครับเพราะว่าในช่วงเวลาที่มีอยู่
แต่เอาเป็นว่าของให้ท่านคุ้นตาก่อน แต่วันนี้เราจะพูดกันแค่ไม่กี่ตัวให้ท่านเห็นว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับชีวิตประจำวันของเรา ให้ท่านจำแค่ว่า
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา” คือพอใจไม่พอใจ
หรือว่าอยู่กลางๆ ที่เรียกว่า “อทุกขมสุขเวทนา” ก็คืออยู่กลางๆ ไม่รู้ว่าพอใจหรือไม่พอใจ
ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
เมื่อกี้เราเห็นแล้วว่าเด็กคนนั้นเห็นเด็กผู้หญิง ปั๊บ...เกิดความพอใจ
หลังจากพอใจ จึงเกิดเป็นตัณหาอยากได้เค้ามาเป็นเจ้าของ
พอเกิดความอยากได้เค้ามาเป็นเจ้าของ จึงเกิดเป็นอุปาทาน
เด็กผู้ชายปิ๊งเด็กผู้หญิง เขียนโน้ตส่งให้
สมมติว่าเด็กผู้หญิงกำลังนั่งอ่านโน้ตยังไม่ได้ตอบว่า yes หรือ no
มีเด็กผู้ชายอีกคนนึงเดินมาแล้วก็เอาดอกกุหลาบมาให้ แล้วก็เข้ามาจีบ
ท่านคิดว่าเด็กผู้ชายคนแรกจะโกรธมั้ยครับ?...โกรธ
ถ้าผมพูดด้วยเหตุด้วยผลเลยว่า ถามว่าโกรธทำไม? เค้ายังไม่ได้ say yes โกรธทำไม?
เค้าไม่ได้ตกลงเป็นแฟนเราซะหน่อย เห็นหรือยังว่ามันไม่ได้ฟังเหตุผลเลย มันยึดทันที
ยึดว่าผู้หญิงคนนี้ เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นของกู
เพราะฉะนั้นไม่ได้ขึ้นกับเหตุผล ขึ้นกับความเห็นผิด เริ่มต้นที่อวิชชา
แต่วันนี้ยังไม่ต้องไปถึงต้นตอหรอก เอาเข้าใจตั้งแต่สามสี่ตัวนี้พอแล้ว สำหรับเวลาที่มีอยู่
เราจะมาดูตัวอย่างนี้ซึ่งผมเชื่อว่าในสองพันคนที่นี่ หลายคนอาจจะเคยผ่านตาสื่อชิ้นนี้มา
ผมก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน เมื่อซักสองสัปดาห์ก่อนผมไปบรรยายให้สภาหอการค้าฯ
โครงการ TEPCOT ก็เอาแต่พวกผู้บริหารระดับประเทศในฝ่ายของธุรกิจมารวมๆ กัน
พิธีกรเค้าก็แนะนำผมให้กับที่ประชุม เค้าบอกว่า
พวกเราอยู่ในฝ่ายของเศรษฐกิจธุรกิจเราคงไม่รู้จัก ถ้าจะเอ่ยชื่อประเสริฐ อุทัยเฉลิม
แต่หากท่านอยากจะรู้จักให้เข้าไปใน youtube แล้วพิมพ์ชื่อนี้
ท่านจะเห็นสื่อธรรมะขึ้นมาเยอะมาก แล้วแต่ละสื่อมีคนเข้าไปดูมากกว่าเจ็ดหมื่นคน
ผมก็บอก...โหอย่างนั้นเลยเหรอ ผมก็เลยเข้าไปดู จริงๆ ด้วย
ผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ามาฟังอริยมรรคมีองค์แปดกันมากกว่าสามหมื่นคน
เข้ามาดูสื่อเรื่องสติมากกว่าเจ็ดหมื่นคน
แล้วในเนื้อเรื่องเจ็ดหมื่นคนคือ เรื่องนี้ครับที่คนเข้าไปวิวมากๆ
เอาล่ะครับ เพื่อความเข้าใจมากขึ้นขออุปกรณ์หน่อยเก้าอี้กับป้าย
แล้วก็อาสาสมัครซักสี่ท่าน เอาไว้บนพรมนี่ล่ะ ขอกล้องถ่ายเข้ามาที่คนนะครับ
เดี๋ยวข้างล่างไม่ทราบว่าเราทำอะไรกัน ตรงนี้เลยครับ อ่ะเชิญครับทั้งสี่ท่านขึ้นเวทีหน่อย
กัลยาณธรรมช่วยกันทำมาหากินหน่อยนะครับ
อ่ะสติอยู่ฝั่งนี้นะครับ แล้วก็ โลภ โกรธ หลง หรือ โลภะ โทสะ โมหะ ครับ
ให้เว้นเก้าอี้ไว้ เก้าอี้ไว้ตรงนี้ โอเค ชิดๆ กันเข้ามาหน่อยครับ
เอาละครับเราจะมาทำความเข้าใจกันสักนิดนึง
วันนี้เราจะมีอำนาจพิเศษที่จะสามารถมองทะลุจิตใจของรีเบคก้า
เมื่อกี้เข้าไปดูได้ว่าขณะนี้จิตใจของรีเบคก้าประกอบด้วยอะไรบ้าง
วันนี้เราจะย่อทุกอย่างเหลือแค่ทำความเข้าใจในฝ่ายกุศลกับอกุศล
เราจะให้เก้าอี้ตัวนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ชื่อว่า “จิต”
ธรรมดาหรือว่าธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตเกิดดับรวดเร็วมาก เกิดดับตลอดเวลา
การเกิดขึ้นดับไปของจิตทุกดวงจะต้องประกอบด้วยด้วยเจตสิก
วันนี้ผมไม่ได้มาสอนอะไรที่ยุ่งยาก
เพียงแต่ฟังให้เข้าใจนิดเดียวเพราะว่าเราจะต้องมาประกอบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงในในนี้
เจตสิกที่จะเข้าประกอบจะทำให้จิตเกิดเป็นกุศลหรืออกุศล วันนี้เอาแค่นี้พอ
ถ้าสติเข้าประกอบ แน่นอนที่สุด เกิดเป็นกุศล ทุกคนเข้าใจได้
แต่ถ้าความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่เราเรียกว่า “กิเลส” เข้าประกอบเกิดเป็นอกุศล
ไม่ยากเย็นอะไร ถ้างั้นความโลภนั่งก่อนนะครับ ลองนั่งดูนะครับ
ถ้าหากความโลภเข้าประกอบจิต สตินั่งเลยครับ นั่งไม่ได้เห็นมั้ยครับเพราะว่ารับรู้ได้ทีละอารมณ์เดียว
[เอ่าล่ะทีนี้กลับเข้าไปที่ก่อนครับ...ขอบคุณมาก]
แปลว่าถ้าประกอบด้วยสติ ก็ไม่มีกิเลส อ่ะพูดง่ายๆ เลย
ถ้าประกอบด้วยกิเลสก็ไม่มีสติ เรื่องมีอยู่แค่เนี่ยะ เราจะมาเริ่มต้นดูกัน
แล้วจิตทุกดวงต้องประกอบด้วยเจตสิกแปลว่าว่างๆ อย่างนี้ไม่มี ว่างๆ อย่างนี้ไม่มีในพวกเรา
ถ้าหากว่าความหลงสั่งสมไว้มากๆ จะเป็นเหตุปัจจัยนำส่งให้ไปเป็นภพแล้วไปเกิดใหม่เป็นเดรัจฉาน
ถ้าโลภะมากๆ มากจนเป็นทุกข์บีบคั้นแล้วก็ฝังรากลึกลงไปเรื่อยๆ จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นเปรต
อันนี้ท่านเข้าใจได้ ได้ยินกันมานานตั้งแต่เด็ก อยากมากๆ นะเป็นเปรต
ส่วนโทสะ อันนี้ก็เข้าใจไม่ยาก เกี่ยวกับสัตว์นรก มีความบีบคั้น ความอาฆาตพยาบาท คับแค้น
อย่างเนี่ยะเป็นสัตว์นรก
ส่วนสตินี่ไม่ต้องห่วงเลย ไม่ต้องอธิบายก็ได้ มีสุขคติเป็นอันหวังได้...นะครับ
เราจะเริ่มต้นดูกันต่อ
ตอนนี้เธอเห็นป้าย Sale แล้ว มองเช้าไปในร้านเห็นผ้าพันคอสีเขียว
ผ้าพันคอกระทบตา...ปั้ง เกิดการแปรค่าเรียกว่า “ผัสสะ” นะ
อายตนภายนอกกระทบอายนตนภายในนะ รูปกระทบตา
มีจักขุวิญญาณมาแปรค่า แปรค่าว่า “นี่คือผ้าพันคอสีเขียวที่กูชอบ”
เพราะภายใต้อวิชชาคือความหลงผิด ก็แปรเป็นกูชอบ
แทนที่จะเห็นเป็นผ้าธรรมดาผืนหนึ่ง ถ้าต้องใช้ก็ซื้อ ถ้าไม่ใช้ก็ว่างๆ ก็สักแต่เห็นไป
แต่นี่กลับกลายเป็น มันเกิดเป็นเวทนา เป็นอาการของจิต
เป็นอาการของจิตขึ้นมา เกิดเป็นเวทนาคือความพอใจในผ้าพันคอนั้น
จากนั้นจึงเกิดตัณหาบีบคั้นอยากได้มาเป็นของกู
ขณะนั้นขณะที่กำลังผ้าพันคอกระทบจึงเกิดเป็นความโลภ
ตอนนี้อยากได้ยังครับแล้วยังครับ?...อยากได้แล้ว
รีเบคก้าอยากได้ ความโลภนั่งเลยครับ ความหลงลุกเลยครับ
เอาล่ะที่นี้ความโลภเกิดขึ้นกับรีเบคก้าละ
รีเบคก้าตรงสู่เป้าหมายเลยนะครับ เป้าหมายมีไว้พุ่งชนละสำหรับรีเบคก้าวันนี้
ถามอีกครั้งนึงครับว่ารีเบคก้ามีสติมั้ยครับ?...ตอนนี้ไม่มีแน่นอนเห็นชัดเลยนะครับ
เวลาเราเดินไปขึ้นรถเนี่ยะ ใจเราอยู่ที่ประตูรถหรืออยู่ที่การเดิน...
ส่วนสตินี่ไม่ต้องห่วงเลย ไม่ต้องอธิบายก็ได้ มีสุขคติเป็นอันหวังได้...นะครับ
เราจะเริ่มต้นดูกันต่อ
ตอนนี้เธอเห็นป้าย Sale แล้ว มองเช้าไปในร้านเห็นผ้าพันคอสีเขียว
ผ้าพันคอกระทบตา...ปั้ง เกิดการแปรค่าเรียกว่า “ผัสสะ” นะ
อายตนภายนอกกระทบอายนตนภายในนะ รูปกระทบตา
มีจักขุวิญญาณมาแปรค่า แปรค่าว่า “นี่คือผ้าพันคอสีเขียวที่กูชอบ”
เพราะภายใต้อวิชชาคือความหลงผิด ก็แปรเป็นกูชอบ
แทนที่จะเห็นเป็นผ้าธรรมดาผืนหนึ่ง ถ้าต้องใช้ก็ซื้อ ถ้าไม่ใช้ก็ว่างๆ ก็สักแต่เห็นไป
แต่นี่กลับกลายเป็น มันเกิดเป็นเวทนา เป็นอาการของจิต
เป็นอาการของจิตขึ้นมา เกิดเป็นเวทนาคือความพอใจในผ้าพันคอนั้น
จากนั้นจึงเกิดตัณหาบีบคั้นอยากได้มาเป็นของกู
ขณะนั้นขณะที่กำลังผ้าพันคอกระทบจึงเกิดเป็นความโลภ
ตอนนี้อยากได้ยังครับแล้วยังครับ?...อยากได้แล้ว
รีเบคก้าอยากได้ ความโลภนั่งเลยครับ ความหลงลุกเลยครับ
เอาล่ะที่นี้ความโลภเกิดขึ้นกับรีเบคก้าละ
รีเบคก้าตรงสู่เป้าหมายเลยนะครับ เป้าหมายมีไว้พุ่งชนละสำหรับรีเบคก้าวันนี้
ถามอีกครั้งนึงครับว่ารีเบคก้ามีสติมั้ยครับ?...ตอนนี้ไม่มีแน่นอนเห็นชัดเลยนะครับ
เวลาเราเดินไปขึ้นรถเนี่ยะ ใจเราอยู่ที่ประตูรถหรืออยู่ที่การเดิน...
ขอบคุณที่พูดความจริงนะครับ
“[คลิปวีดีโอ] รีเบคก้า เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าร์นะ...”
“เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าร์นะ”
อันนี้เป็น...เกิดความยับยั้งช่างใจขึ้นมา สตินั่งครับ
“[คลิปวีดีโอ] เธอไม่ต้องการใช้ผ้าพันคอหรอก...”
พอสติมาปัญญาเกิด ใช่...เราเป็นหนี้ตั้งเยอะแยะ จะไปใช้ผ้าพันคอทำไม
รีเบคก้าก็เลยตัวหมุนตัวกลับเลย นอกจากหมุนตัวกลับไม่พอ
เมื่อกี้เราได้ยินรีเบคก้า ฮืดด...รู้ลมไปหนึ่งทีนะ ฮึฮึ...นี่ขนาดยังไม่ได้ฝึกนะเนี่ย
“[คลิปวีดีโอ] ก็นั่นนะสิใครจะต้องใช้ผ้าพันคอกันล่ะ....”
“ก็นั่นนะสิใครจะต้องใช้ผ้าพันคอกันล่ะ” ตอนนี้ถ้าทางน้ำเสียงไม่ค่อยใช้สติแล้ว
เมื่อกี้โลภะทำงานแต่ทำไม่สำเร็จ สติเข้ามาขวางเสียก่อนถึงตาพี่ใหญ่ที่เรียก “อวิชชา” มาจัดการเอง
ความหลงนั่งเลยครับ
“[คลิปวีดีโอ] เป็นแม่เธอก็ต้องทำอย่างนั้น... เธอพูดถูก แม่ทำแน่...”
หลงแล้วยังครับ?...หลงละทีแรกว่าเธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตน่ะ แต่ตอนนี้เธอพูดถูกละ
“ความหมายของผ้าพันของผืนนี้ก็คือ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความเป็นเธอ...”
แต่เมื่อกี้โมหะพูดว่าไง “มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความเป็นเธอ”
“[คลิปวีดีโอ] เปิดประตูอีกทางแล้วค่ะ ทางนี้...”
“[คลิปวีดีโอ] ที่ทุกกระบะฉันจะถามตัวเองว่า ฉันต้องใช้มันมั้ย...”
แล้วท่านจะเห็นอาการอย่างเนี้ยะตลอดเวลานะ
“[คลิปวีดีโอ] ฉันรู้ แต่คุณวางลงไปแล้วอ่ะ... ใช่ฉันวางไปแล้ว แต่ฉันเห็นก่อนอ่ะ ฉันจะซื้อคู่นี้น่ะคะ...” เอาล่ะ คือจะเอาให้ได้ล่ะตอนนี้
“[คลิปวีดีโอ] เอามาแล้วจะไม่มีใครเจ็บตัว... น้อยหน่อยเหอะ...”
เห็นแล้วยังครับว่าสัตว์นรกเริ่มเปลี่ยนแปลงไปที่กายแระนะ
จากเริ่มจากใจก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกาย เมื่อกี้ยังดูสวยๆ อยู่เลยนะครับ
แต่เมื่อโทสะเข้าประกอบแล้วจะเป็นอย่างนี้เลยนะครับ เวลาท่านโกรธลองให้เพื่อนถ่ายคลิปไว้สิ ฮึ
เอาล่ะเรากลับมาที่บนเวทีอีกครั้งนึง
เหมือนเดิมเอาจะเห็นว่าฝั่งนี้ (โลภ โกรธ หลง) เวียนเข้าเวียนออกเป็นว่าเล่นกับจิตดวงนี้
ส่วนสติก็เที่ยวนี้อาจจะได้สักสองที ตึ้ก...แล้วก็ลุก แล้วก็อีกตึ้ก...แล้วก็ลุก
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน หากการสั่งสมไว้ในแต่ละขณะ แต่ละขณะ
เป็นการสั่งสมเอาไว้ที่จิตวิญญาณ เข้าไปอยู่ในวิญญาณ การชำระ ชำระด้วยอริยมรรคมีองค์แปด
แต่ภพภูมิที่เราสั่งสมเอาไว้เนี่ย ดูกันง่ายๆ
สีแดงคือสติที่พวกเรามีโดยยังไม่ต้องฝึก รีเบคก้าเองก็ยังไม่ได้ฝึก
เพราะฉะนั้น 7% พอจะมีโอกาสได้ไปเกิดในสุคติภูมิ
แต่จากที่เห็น โลภ โกรธ หลง เวียนเข้าเวียนออกเป็นว่าเล่น
เราจะเห็นเลยว่าโอกาสที่จะไปเกิดในภูมิต่างๆ ที่ไม่ใช่สุคติมีเยอะเหมือนกัน
หรือว่าถ้าจะแบ่งพวกกันเลยเนี่ยะ โอกาสที่เกิดในสุคติคือสีแดง
ไม่ได้ขึ้นกับอยากหรือไม่อยากของใคร
สร้างเหตุยังไงผลเป็นอย่างนั้น
วันนี้สร้างเหตุที่ดีไว้ มีสติแล้วท่านจะสามารถสร้างเหตุที่ดีได้
คงไม่มีเวลาที่จะพูดมากแล้ว ผมบอกแล้วว่าเที่ยงตรงมาถึงแน่
ไม่ขึ้นกับอยากหรือไม่อยากของใคร ต่อให้ท่านอยาก โอ้ย...อาจารย์บรรยายต่อ...ไม่!!!
ต่อให้ท่านอยากจะไปเข้าห้องน้ำอยากไปทานข้าว เที่ยงตรงมาถึงแน่
แล้วจำได้มั้ยครับตอนที่ผมพูดเที่ยงตรงอยู่ในอนาคต
เที่ยงตรงตอนนี้คือ เดี๋ยวนี้
หากความตายที่บอกว่าอยู่ในอนาคต เมื่อไหร่ที่มันมาถึง มันคือปัจจุบัน
ถ้าวันนี้ไม่พร้อมตอนนี้ไม่พร้อม ตอนนั้น?....ไม่พร้อม!
ขอบคุณทั้งสี่ท่านครับที่มาช่วยเป็นแบบให้
ก็พอจะทำให้พวกเราเห็นภาพ แล้วก็จากเรื่องที่เป็นนามธรรมที่ยากเหลือเกินที่จะทำความเข้าใจ
“[คลิปวีดีโอ] รีเบคก้า เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าร์นะ...”
“เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าร์นะ”
อันนี้เป็น...เกิดความยับยั้งช่างใจขึ้นมา สตินั่งครับ
“[คลิปวีดีโอ] เธอไม่ต้องการใช้ผ้าพันคอหรอก...”
พอสติมาปัญญาเกิด ใช่...เราเป็นหนี้ตั้งเยอะแยะ จะไปใช้ผ้าพันคอทำไม
รีเบคก้าก็เลยตัวหมุนตัวกลับเลย นอกจากหมุนตัวกลับไม่พอ
เมื่อกี้เราได้ยินรีเบคก้า ฮืดด...รู้ลมไปหนึ่งทีนะ ฮึฮึ...นี่ขนาดยังไม่ได้ฝึกนะเนี่ย
“[คลิปวีดีโอ] ก็นั่นนะสิใครจะต้องใช้ผ้าพันคอกันล่ะ....”
“ก็นั่นนะสิใครจะต้องใช้ผ้าพันคอกันล่ะ” ตอนนี้ถ้าทางน้ำเสียงไม่ค่อยใช้สติแล้ว
เมื่อกี้โลภะทำงานแต่ทำไม่สำเร็จ สติเข้ามาขวางเสียก่อนถึงตาพี่ใหญ่ที่เรียก “อวิชชา” มาจัดการเอง
ความหลงนั่งเลยครับ
“[คลิปวีดีโอ] เป็นแม่เธอก็ต้องทำอย่างนั้น... เธอพูดถูก แม่ทำแน่...”
หลงแล้วยังครับ?...หลงละทีแรกว่าเธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตน่ะ แต่ตอนนี้เธอพูดถูกละ
“ความหมายของผ้าพันของผืนนี้ก็คือ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความเป็นเธอ...”
เรามาปฏิบัติธรรมเนี่ย เรามาลดตัวตนกันแทบเป็นแทบตายนะ กว่าจะลดตัวกูของกูลงได้เนี่ย
แต่เมื่อกี้โมหะพูดว่าไง “มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความเป็นเธอ”
นี่ล่ะหน้าที่หลักของโมหะล่ะ ทำให้เกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเนี่ย
“[คลิปวีดีโอ] จิตวิญญาณเธอ...” รู้จักใช้คำด้วยนะ ...“จิตวิญญาณ”
“[คลิปวีดีโอ] เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย... ยังๆ ยังๆ พูดมาเรื่อยๆ เร็วๆ...”
อันนี้หลงแน่นอนนะครับ
“[คลิปวีดีโอ] มันจะทำให้ดวงตาเธอดูโตขึ้นนะสิ ฮึมอืม...”
“[คลิปวีดีโอ] จิตวิญญาณเธอ...” รู้จักใช้คำด้วยนะ ...“จิตวิญญาณ”
“[คลิปวีดีโอ] เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย... ยังๆ ยังๆ พูดมาเรื่อยๆ เร็วๆ...”
อันนี้หลงแน่นอนนะครับ
“[คลิปวีดีโอ] มันจะทำให้ดวงตาเธอดูโตขึ้นนะสิ ฮึมอืม...”
อ่า...ที่นี้ท่านดูภาพนี้ไว้นะคุณผู้หญิงน่ะ เวลาท่านไปซื้อเสื้อซื้อผ้า ซื้อกิ๊บซื้ออะไรเนี่ย
ท่านจะต้องทำคอเอียงๆ อย่างเนี่ยะ ไม่รู้เป็นยังไง
“[คลิปวีดีโอ] มันจะทำให้ทรงผมฉันดูดีมีราคาขึ้น เธอใส่มันเข้าได้กับทุกอย่าง การลงทุนที่คุ้มค่า...”
เมื่อกี้เพิ่งบอกเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าร์ ตอนนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าขึ้นมาแล้ว
โมหะทำงานแปบเดียวเรียบร้อยเลยนะ
[คลิปวีดีโอ] เธอจะเดินเข้าไปสัมภาษณ์... ได้อย่างมั่นใจเลย...อย่างมั่นใจ ดุจนางหงส์...นางหงส์..”
อืมอือ ดูหน้ารีเบคก้าตอนนี้ ตัวกูขึ้นเต็มๆ นะ
“[คลิปวีดีโอ] หญิงสาวกับผ้าพันคอสีเขียว...”
เอาล่ะ ตอนจบเรารู้ดีว่า กิเลสปิดการขาย แล้วก็รีเบคก้าก็ซื้อ
ก่อนที่เราจะไปต่อ
เพื่อให้ทำความเข้าใจเพิ่มขึ้น ผมถามง่ายๆ เลยว่า
เรานั่งดูกันมาตลอดเนี่ย สติได้นั่งกี่ทีครับ?...ทีเดียว ถูกมั้ยครับ
สติได้นั่งทีเดียวแล้วแปบเดียวจริงๆ กึ๊กแล้วขึ้นเลย
นอกนั้นสามคนนี้ถึงแม้ว่าวันนี้ตอนนี้ความโกรธจะยังไม่ได้เข้ามามีบทบาท
แต่เราจะเห็นว่ากลุ่มสามคนนี่ กิเลสเนี่ย เวียนเข้าเวียนออกจิต
เป็นเจ้าของเลยพาเหรดเลยนะครับ
หากนี่ (หลง) นำส่งให้เป็นเดรัจฉาน, เปรต (โลภ), สัตว์นรก (โกรธ)
ชักไม่สวยแล้วนะครับกับรีเบคก้าเนี่ย
เพราะว่าสร้างเชื้อเอาไว้ดีๆ ทั้งนั้นเลย
ส่วนเชื้อที่จะเป็นสุขคติเนี่ย จึ๊กแล้วออกเลยนะครับ ไม่ต้องให้ใครพยากรณ์เลย
นี่คือสาเหตุที่ทำไมพระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลายท่านนั่งแล้วก็ช้อน เอานิ้วก้อยช้อนพื้นดินขึ้นมา
แล้วขึ้นฝุ่นติดปลายเล็บ ท่านถามว่าฝุ่นที่ติดปลายเล็บตถาคตหากเทียบกับมหาปฐพีนี้อันไหนมากกว่า
ภิกษุบอกว่าเทียบกันไม่ได้พระเจ้าข้า คือขี้ฝุ่นที่ติดปลายเล็บนี่นิดเดียว
ท่านก็บอกว่า ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์ที่จะกลับมาเป็นมนุษย์มีแค่เนี้ยะ
เอ่อไม่รู้ว่ารวมพวกเราด้วยมั้ยนะ ฮึ...แต่ที่ไปเกิดเป็นอย่างอื่นมีมากกว่า
เห็นแล้วยัง เราสร้างเหตุไปเกิดเป็นอะไรกันแน่
เอาล่ะเดี๋ยวเราจะดูต่อไปนะครับ อย่างเพิ่งตกใจ ฮึ...เดี๋ยวจะมีตกใจยิ่งกว่านี้อีก
อ่ะ... ยืนแบบนี้มีสติมั้ยครับ? อันนี้ชัดเจนมากนะครับ
ตอนที่จะดูว่าวันนี้เที่ยงเค้าจะแจกอาหารอะไร ระวังนะครับ
ฮึเฮอะ...ภาพอย่างนี้จำๆ ไว้บ้างนะครับจะได้เกิดสติมีปัญญาขึ้นมา
รีเบคก้ายืนยังไม่มีสติเลย อย่างที่เรารู้คือหลง นี่หลงนั่งข้ามช็อตมาเลยนะครับ
ยังไม่ลุกเลยเนี่ย คือโมหะดูแล้วกันว่าอยู่กับพวกเรามาแบบเนียนอ่ะ
“[คลิปวีดีโอ] เปิดประตูอีกทางแล้วค่ะ ทางนี้...”
ดูท่าทางไม่น่าใช่สติแล้วนะครับ สติลุกเลยครับ ตอนนี้เกิดความโลภ
โลภนั่งเลยครับ ได้นั่งแปบเดียวเหมือนเดิมนะครับสติ
ถ้าบอกว่าความโลภสั่งสมให้เป็นเปรต ตอนนี้วิ่งกันวุ่นเลยนะครับเปรตเนี่ย
“[คลิปวีดีโอ] ที่ทุกกระบะฉันจะถามตัวเองว่า ฉันต้องใช้มันมั้ย...”
“ที่ทุกกระบะฉันจะถามตัวเองว่า ฉันต้องใช้มันมั้ย”
เวลาท่านจะเข้าไปในห้างไปซื้อของในกระบะ Sale ท่านอาจจะนึกออก
ท่านอาจจะพูดอย่างนี้กับตัวเองเหมือนกัน ขณะนั้นเกิดความยับยั้งชั่งใจ เกิดสติขึ้นมา
เออทุกกระบะต้องถามตัวเองก่อนว่าจะใช้มั้ย สตินั่งเลยครับ
“[คลิปวีดีโอ] นี่ก็ถุงมือแคชเมียร์ฉันต้องใช้มันนี่ฤดูหนาวและเพราะฉันมีมือ...”
นี่ถุงมือแคชเมียร์ เข้าไปกำลังจะซื้อของแล้ว
ก่อนเค้าเข้ามารีเบคก้าบอกว่า ทุกกระบะจะถามตัวเองว่าต้องใช้มั้ย
แสดงว่ากำลังจะซื้อแล้ว เกิดสติยับยั้งขึ้นมา สตินั่งเลยครับ
“นี่ถุงมือแคชเมียร์ ฉันจำต้องใช้มันนี่ฤดูหนาวและฉันมีมือ”
อืม...มือ...ฮึ...ซื้อถุงมือเพราะฉันมีมือนี่เอง มันจริงๆ แล้วก็ดูฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่
แต่ถ้าไม่ให้แต้มบ้างเลยเนี่ยจะไม่ได้นั่งเลยนะสติเนี่ย
วันนี้คุณผู้หญิงทั้งหลายมีรองเท้าเยอะมั้ยครับ หลายคู่มั้ยครับ?...หลายคู่ เพราะมีเท้า...อืม..( หัวเราะ )
แล้วท่านจะเห็นอาการอย่างเนี้ยะตลอดเวลานะ
ฮึ...ความจริงไม่น่าใช่สตินะ
“[คลิปวีดีโอ] จะซื้อแค่นี้แหล่ะ ฉันจะซื้อถุงมือคู่นี้ คู่นี้เท่านั้น...”
ไม่รู้จักใครเลยน่ะที่เข้าไป ไม่รู้บอกใครน่ะ จะมีลักษณะพิเศษของคุณผู้หญิงอย่างนึงคือว่า
หาความชอบธรรม ฮึ...ถ้าจะซื้ออะไร ถ้ามีคนบอกว่าใส่แล้วสวยนะ...ซื้อทันทีเลยไม่ต้องคิดมากเลย
“[คลิปวีดีโอ] ฉันต้องใช้มันมั้ย? ฉันต้องใช้มันมั้ย?...”
ฉันต้องใช้มันมั้ย? ยังดีอย่างรีเบคก้าเป็นคนมีสัจจะ สตินั่งเลยครับ
ฉันจะถามตัวเองก่อน “ฉันต้องใช้มันมั้ย?”
เธอเป็นคนมีสัจจะดีมาก แต่รู้สึกเธอซื้อทุกกระบะเลยนะ
นั่นไง.. โลภะนั่งเลยครับ อยากได้รองเท้านี้อีกละ
“[คลิปวีดีโอ] ฉันต้องใช้มันมั้ย?...ไม่” สติมาปัญญาเกิด วางเลยนะครับ ถูกต้องแล้ว
“[คลิปวีดีโอ] เออะเออ...ฉัน ฉันขอโทษนะคะ ฉันหยิบก่อน...”อ่ะฉันหยิบก่อนขึ้นมาละ ตอนนี้เริ่มเกิดความโลภอยากได้ขึ้นมาอีกครั้งนึง โลภะนั่งเลยครับ
ฉันต้องใช้มันมั้ย? ยังดีอย่างรีเบคก้าเป็นคนมีสัจจะ สตินั่งเลยครับ
ฉันจะถามตัวเองก่อน “ฉันต้องใช้มันมั้ย?”
เธอเป็นคนมีสัจจะดีมาก แต่รู้สึกเธอซื้อทุกกระบะเลยนะ
นั่นไง.. โลภะนั่งเลยครับ อยากได้รองเท้านี้อีกละ
“[คลิปวีดีโอ] ฉันต้องใช้มันมั้ย?...ไม่” สติมาปัญญาเกิด วางเลยนะครับ ถูกต้องแล้ว
“[คลิปวีดีโอ] เออะเออ...ฉัน ฉันขอโทษนะคะ ฉันหยิบก่อน...”อ่ะฉันหยิบก่อนขึ้นมาละ ตอนนี้เริ่มเกิดความโลภอยากได้ขึ้นมาอีกครั้งนึง โลภะนั่งเลยครับ
“[คลิปวีดีโอ] ฉันรู้ แต่คุณวางลงไปแล้วอ่ะ... ใช่ฉันวางไปแล้ว แต่ฉันเห็นก่อนอ่ะ ฉันจะซื้อคู่นี้น่ะคะ...” เอาล่ะ คือจะเอาให้ได้ล่ะตอนนี้
“[คลิปวีดีโอ] เอามาแล้วจะไม่มีใครเจ็บตัว... น้อยหน่อยเหอะ...”
เห็นแล้วยังครับว่าสัตว์นรกเริ่มเปลี่ยนแปลงไปที่กายแระนะ
จากเริ่มจากใจก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกาย เมื่อกี้ยังดูสวยๆ อยู่เลยนะครับ
แต่เมื่อโทสะเข้าประกอบแล้วจะเป็นอย่างนี้เลยนะครับ เวลาท่านโกรธลองให้เพื่อนถ่ายคลิปไว้สิ ฮึ
เอาล่ะเรากลับมาที่บนเวทีอีกครั้งนึง
เหมือนเดิมเอาจะเห็นว่าฝั่งนี้ (โลภ โกรธ หลง) เวียนเข้าเวียนออกเป็นว่าเล่นกับจิตดวงนี้
ส่วนสติก็เที่ยวนี้อาจจะได้สักสองที ตึ้ก...แล้วก็ลุก แล้วก็อีกตึ้ก...แล้วก็ลุก
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน หากการสั่งสมไว้ในแต่ละขณะ แต่ละขณะ
เป็นการสั่งสมเอาไว้ที่จิตวิญญาณ เข้าไปอยู่ในวิญญาณ การชำระ ชำระด้วยอริยมรรคมีองค์แปด
แต่ภพภูมิที่เราสั่งสมเอาไว้เนี่ย ดูกันง่ายๆ
สีแดงคือสติที่พวกเรามีโดยยังไม่ต้องฝึก รีเบคก้าเองก็ยังไม่ได้ฝึก
เพราะฉะนั้น 7% พอจะมีโอกาสได้ไปเกิดในสุคติภูมิ
แต่จากที่เห็น โลภ โกรธ หลง เวียนเข้าเวียนออกเป็นว่าเล่น
เราจะเห็นเลยว่าโอกาสที่จะไปเกิดในภูมิต่างๆ ที่ไม่ใช่สุคติมีเยอะเหมือนกัน
หรือว่าถ้าจะแบ่งพวกกันเลยเนี่ยะ โอกาสที่เกิดในสุคติคือสีแดง
ไม่ได้ขึ้นกับอยากหรือไม่อยากของใคร
สร้างเหตุยังไงผลเป็นอย่างนั้น
วันนี้สร้างเหตุที่ดีไว้ มีสติแล้วท่านจะสามารถสร้างเหตุที่ดีได้
คงไม่มีเวลาที่จะพูดมากแล้ว ผมบอกแล้วว่าเที่ยงตรงมาถึงแน่
ไม่ขึ้นกับอยากหรือไม่อยากของใคร ต่อให้ท่านอยาก โอ้ย...อาจารย์บรรยายต่อ...ไม่!!!
ต่อให้ท่านอยากจะไปเข้าห้องน้ำอยากไปทานข้าว เที่ยงตรงมาถึงแน่
แล้วจำได้มั้ยครับตอนที่ผมพูดเที่ยงตรงอยู่ในอนาคต
เที่ยงตรงตอนนี้คือ เดี๋ยวนี้
หากความตายที่บอกว่าอยู่ในอนาคต เมื่อไหร่ที่มันมาถึง มันคือปัจจุบัน
ถ้าวันนี้ไม่พร้อมตอนนี้ไม่พร้อม ตอนนั้น?....ไม่พร้อม!
ขอบคุณทั้งสี่ท่านครับที่มาช่วยเป็นแบบให้
ก็พอจะทำให้พวกเราเห็นภาพ แล้วก็จากเรื่องที่เป็นนามธรรมที่ยากเหลือเกินที่จะทำความเข้าใจ
กลายเป็นรูปธรรมที่อยู่ในชีวิตของทุกๆ คน พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า
ไม่ว่าจะมีตถาคตหรือไม่มีก็ตาม
ปฏิจจสมุปบาทยังคงหมุนแล้วก็ทำหน้าที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันอยู่อย่างนี้ต่อไป
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเครื่องออก คือเกิดปฏิจจสมุปบาทสายดับขึ้นมา
เราคงจะอย่างน้อยก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้
ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า อะไรมันเกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้นได้ยังไงนะ
จากนั้นท่านค่อยก็ไปเข้าสู่การปฏิบัติ หนึ่งชั่วโมงก็คงทำได้แค่นี้นะ
ถ้าอยากจะได้อะไรมากกว่านี้ก็ลองไปที่บูธ
ก็ขออนุโมทนากับท่านเจ้าภาพทุกๆ ท่านเลย
ไม่ว่าท่านเจ้าภาพสถานที่ หรือว่าทางชมรมกัลยาณธรรม
แล้วก็คุณพ่อสนองที่จัดให้มีการแสดงธรรมฟังธรรมของพวกเรากันมาโดยตลอด
ซึ่งก็เป็นโชคดี ความจริงก็ไม่ใช่โชคดี ท่านทั้งหลายก็สร้างเหตุกันมาดี
แต่เหตุทั้งหลายก็ไม่ได้มาจากเหตุเดียว มาจากมากมายก่ายกอง
วันนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
ปฏิจจสมุปบาทยังคงหมุนแล้วก็ทำหน้าที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันอยู่อย่างนี้ต่อไป
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเครื่องออก คือเกิดปฏิจจสมุปบาทสายดับขึ้นมา
เราคงจะอย่างน้อยก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นได้
ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า อะไรมันเกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้นได้ยังไงนะ
จากนั้นท่านค่อยก็ไปเข้าสู่การปฏิบัติ หนึ่งชั่วโมงก็คงทำได้แค่นี้นะ
ถ้าอยากจะได้อะไรมากกว่านี้ก็ลองไปที่บูธ
ก็ขออนุโมทนากับท่านเจ้าภาพทุกๆ ท่านเลย
ไม่ว่าท่านเจ้าภาพสถานที่ หรือว่าทางชมรมกัลยาณธรรม
แล้วก็คุณพ่อสนองที่จัดให้มีการแสดงธรรมฟังธรรมของพวกเรากันมาโดยตลอด
ซึ่งก็เป็นโชคดี ความจริงก็ไม่ใช่โชคดี ท่านทั้งหลายก็สร้างเหตุกันมาดี
แต่เหตุทั้งหลายก็ไม่ได้มาจากเหตุเดียว มาจากมากมายก่ายกอง
วันนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น